วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
คือ สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น ทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในงานของเฮโรโดตุส (Herodotos หรือ Herodotus เมื่อราว 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นก็การอ้างถึงจากกวีชาวกรีก เช่น คัลลิมาฆุส แห่งคีเรนี, อันทิพาเตอร์ แห่งซีดอน และฟิโล แห่งไบเซนไทน์ เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก ในบัญชีแรก เรียกกันว่า เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และหลังจากนั้น ยังมีบัญชีเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและยุคปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏผู้จัดทำรายการอย่างชัดเจน
ยุคโบราณ

พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
สวนลอยบาบิโลน (อังกฤษ: Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี ปัจจุบันสวนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว เทวรูปซีอุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111 ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58 ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน อาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียหาย
วิหารไดอานา หรือ วิหารไดอานาแห่งเอฟิซูส ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซูส ประเทศกรีซ วิหารแห่งนี้สร้างด้วยหินอ่อนเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยของกษัตริย์ครอยซุสแห่งลิเดีย ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต เมื่อมองจากด้านกว้างจะพบเสาหินอ่อนเรียงกันอยู่ทั้งสิ้น 8 ต้น แต่ถ้ามองจากด้านยาวจะเห็นเสาหินอ่อนเรียงกันอยู่ 20 ต้น โดยเสาแต่ละต้นมีความสูง 60 ฟุต และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 6 ฟุต หลังคาวิหารทำด้วยไม้มุงกระเบื้องหินอ่อน ขนาดของวิหารครอบคลุมพื้นที่ 54,720 ตารางฟุต เป็นวิหารที่สามารถกล่าวได้ว่ามีความสวยงามมากที่สุดในสมัยนั้น ประวัติการสร้างวิหารแห่งนี้ มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า วิหารแห่งนี้ถวายสร้างขึ้นแด่เทพธิดาไดอานาหรืออาร์เทมิสที่เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อช่วยชาวเมnองให้พ้นจากภัยพิบัติและความหายนะทั้งปวง เมื่อเทพธิดาไดอานาหรืออาร์เทมิสได้ช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นหายนะดังกล่าวแล้ว ชาวเมืองต่างซาบซึ้งในบุญคุณยิ่งนัก ด้วยความศรัทธาทั้งหลายทั้งปวง ชาวเมืองต่างร่วมใจกันสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นมาอย่างใหญ่โตวิจิตรงดงาม ต่อมาวิหารไดอานาได้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลาโดยไม่มีใครสนใจจนกระทั่งเมื่อ ค.ศ. 186 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่เนื่องจากถูกไฟไหม้ แม้ว่าวิหารไดอานาจะเสียหายไปมากทว่าความงดงามของโครงร่างสถาปัตยกรรมแบบกรีกที่สวยงามยังคงตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น เทวรูปเฮลิออสเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ในปี 357 ก่อน ค.ศ. เกาะโรดส์ (Rhodes - ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศกรีซ) ซึ่งเป็นอีกเมืองท่าสำคัญในยุคนั้น ถูกยึดครองโดย Mausolus แห่ง Halicarnassus (ผู้ที่หลุมศพของพระองค์กลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคต้นนั่นเอง) จนถึงปี 332 ก่อน ค.ศ. ก็กลายเป็นของ Alexander มหาราช จนเมื่อสิ้นยุคของพระองค์ อำนาจเหนืออาณาจักรทั้งหลายก็ตกอยู่ในมือของ Ptolemy, Seleucus และ Antigous ชาวเกาะโรดส์ได้ตัดสินใจยืนอยู่ข้าง Ptolemy ซึ่งขณะนั้นมีอำนาจเหนืออียิปต์ ทำให้ Antigous ไม่พอใจ จึงส่ง Demetrius ลูกชายพร้อมกองทหาร 40,000 คน (ซึ่งมากกว่าประชากรชาวโรคส์ทั้งหมดเสียอีก) มาโอบล้อมเกาะเอาไว้เพื่อสั่งสอน แต่จนแล้วจนรอด กองทหารของ Demetrius กลับไม่สามารถตีฝ่ากำแพงอันแน่นหนาของโรดส์ได้ จนในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งใหญ่นี้ ชาวโรดส์จึงตั้งใจจะสร้างเทวรูปของเทพเจ้า Helios (หรืออพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์) โดยมอบให้ Chares แห่ง Lindos ปฏิมากรชาวโรดส์ผู้ซึ่งได้ร่วมรบในสงครามครั้งนี้ เป็นสถาปนิกผู้ดำเนินการสร้างเทวรูปนี้มีความสูงถึง 110 ฟุต และขาทั้งสองข้างกางออกคลุมเหนือทางเข้าท่าเรือ แต่เชื่อกันว่า Chares ไม่สามารถอยู่ทันได้ดูงานของเขาเสร็จสมบูรณ์ มีเรื่องเล่าหลายเรื่องบอกไว้ว่าเขาได้ฆ่าตัวตายลงเสียก่อน หนึ่งในเรื่องเล่าเหล่านั้นบอกเอาไว้ว่าขณะที่เขาเกือบจะเสร็จงานชิ้นเอกนี้ มีผู้หนึ่งชี้ให้ดูข้อตำหนิเล็กๆ ที่รูปปั้นของเขา Chares รู้สึกอับอายมากไม่อาจอยู่สู้หน้าใครได้ เขาจึงชิงฆ่าตัวตายหนีหน้าไป แต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันเรื่องเล่าเหล่านี้The Colossus of Rhodes ยืนเด่นอวดโฉมอยู่ได้เพียง 56 ปี ก็ถูกแผ่นดินไหวทำลายลงราบ กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มีอายุน้อยที่สุดของโลก กล่าวกันว่ากษัตริย์แห่งอียิปต์ (Ptolemy III) ได้เสนอจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการบูรณะใหม่ แต่ชาวโรดส์ต่างปฏิเสธไปเพราะเกรงว่าเทพเจ้า Helios อาจจะลงโทษด้วยแผ่นดินไหวอีกครั้ง จนล่วงมาถึงศตวรรษที่ 7 เมื่อพวกอาหรับเข้ามายึดครองเกาะโรดส์ พวกเขาได้ทำลายชิ้นส่วนต่างๆ ที่หลงเหลือของรูปปั้นลง แล้วขายให้กับพวกยิวจากซีเรีย (Syria) ว่ากันว่าชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องใช้อูฐถึง 900 ตัวในการขนกลับไปยังซีเรียปัจจุบันเราอาจจะเรียก The Statue of Liberty หรือเทพีเสรีภาพของอเมริกาได้ว่าเป็น Modern Colossus ที่สร้างขึ้นในรูปแบบคล้ายคลึงกันและด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ เฉลิมฉลองเสรีภาพนั่นเอง
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นประภาคารโบราณซึ่งจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดียร ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนีย สร้างประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยพระเจ้าปโตเรมีที่ 2 โดยสถาปนิกชื่อ โซสเตรโตส ประภาคารสูง 200-600 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลัก มีตะเกียงขนาดใหญ่บนยอด แต่ในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา
เทวลัยดิอานา หรือ อาร์เทมิส ที่เมืองเอเฟซุส ในประเทศกรีซ สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เป็นวิหารที่สร้างขึ้น ด้วยฝีมือของบรรดาสถาปัตย์กรีก ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างได้งาม วิจิตรพิศดารมาก ทั้งนี้เพื่อ เป็นที่ระลึกถึงอาร์เทมิส ซึ่งเป็นผู้มาจากสวรรค์ ได้ช่วยกู้ความหายนะ ของเมืองไว้ ได้ถึง 2 ครั้ง มีความยาว 150 เมตร กว้าง 50 เมตร และใช้ศิลาขนาดใหญ่ถึง 127 ต้น สูงกว่า 18 เมตร หลังคาใช้ กระเบื้องหินอ่อน ส่วนประตูประดับประดา ไปด้วยงาช้าง และทองคำ
สุสานกษัตริย์โมโซรุส Mausolus เป็นกษัตริย์แห่ง Halicarnassus สิ้นพระชนม์ลงในปี 353 ก่อนคริสตศักราช การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ราชินี Artemisia ผู้เป็นทั้งมเหสีและขนิษฐาทรงเสียพระทัยมาก จึงทรงแสดงความความอาลัยรักด้วยการสร้าง The Mausoleum of Halicarnassus ให้วิจิตรงดงามที่สุด พระนางเฟ้นหาศิลปินเอกมาจาก Greece ซึ่งมีทั้ง Scopas (ผู้ที่ดูแลการก่อสร้าง The Temple of Artemis at Ephesus อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคต้น), Bryaxis, Leochares และ Timotheus แต่น่าเสียดายที่พระนางไม่มีโอกาสได้อยู่ดูความงดงามของอนุสรณ์รักของพระองค์ Artemisia สิ้นพระชนม์ลงหลังพระสวามีเพียง 2 ปี แต่ในที่สุดร่างของทั้งสองพระองค์ก็ได้ฝังอยู่เคียงข้างกันในสุสานแห่งนี้ The Mausoleum of Halicarnassus ตั้งตระหง่านอยู่ต่อมาอีกหลายศตวรรษ ผ่านทั้งยุคของ Alexander มหาราชในช่วงปี 334 ก่อน ค.ศ. และรอดพ้นจากการโจมตีของโจรสลัดในปี 62 และ 58 ก่อน ค.ศ. ท่ามกลางซากเมืองที่ถูกทำลาย จนกระทั่งปี 1404 The Mausoleum ก็ไม่อาจต้านทานภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหวได้ พวกนักรบ Crusader ที่ได้ครอบครองต่อมาได้นำซากหินหักพังเหล่านี้มาสร้างปราสาทและป้อมปราการ จนถึงปี 1846 พิพิธภัณฑ์อังกฤษก็ได้ส่งนักโบราณคดี Charles Thomas Newton มาสำรวจหาหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ และนำสิ่งที่ได้ทั้งหมดกลับไปเก็บไว้ที่ห้อง "Mausoleum" ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษในที่สุด

ยุคกลาง

สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือ ประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก

เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง ตั้งอยู่ที่เมืองนานกิงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์เหม็ง เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตัวเจดีย์มีลักษณะทรงสูงรูปแปดเหลื่ยม หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว แขวนกระดิ่งไว้ 80 ลูก โดยรอบเจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ยอดปลายแหลมของเจดีย์เป็นรูปทรงกลมต่อกันขึ้นไปและเคลือบด้วยทอง แต่เจดีย์องค์เดิมมี 3 ชั้น ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 9 ชั้น มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์ 8 เส้น โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม 72 ลูก ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392 กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 332 - 339 โดยจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นกำแพงอิฐที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งยาวประมาณ 2400 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวตาตาร์ กำแพงสร้างด้วยดิน หิน และก่ออิฐโดยรอบ มีการสร้างป้อมปราการประมาณ 15,000 แห่ง มีฐานกว้างประมาณ 20 ฟุต ทางเดินกว้างประมาณ 12 ฟุต สูงประมาณ 25 ฟุต มีระฆังบอกเหตุประมาณ 20,000 หอ ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 10 ปี โดยแรงงานของประชาชนนับล้านคนและมีผู้เสียชีวิตในระหว่างการสร้างประมาณหมื่นคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนได้รับการบูรณะซ่อมแซมในส่วนที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งทำให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ มีอายุประมาณปลายยุคหินถึงต้นยุคบรอนซ์ ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบซาลิสเบอรี ด้านเหนือของเมืองซาลิสเบอรี ในมณฑลวิลไซร์ ห่างจากกรุงลอนดอนไป 10 ไมล์ ประเทศอังกฤษ ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้นำมาวางไว้ และนำมาวางไว้เพื่อจุดประสงค์ใด นักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าสร้างมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์ยุคนั้น กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ประกอบไปด้วยก้อนหินทรงสูงขนาดใหญ่จำนวน 112 ก้อนวางตั้งเรียงเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสามวง บางก้อนล้มนอน บางก้อนวางทับซ้อนอยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต มีน้ำหนักเป็นตันๆ บริเวณที่ราบซาลิสเบอรีเป็นทุ่งโล่ง ไม่มีภูเขา และไม่ปรากฏว่ามีก้อนหินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2507 เจอรัลด์ เอส เฮากินส์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้สันนิษฐานว่า เป็นสถานที่สำหรับทำนายตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก คือเป็นปฏิทินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆนั่นเอง
สุเหร่าโซเฟีย เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะกรรมกรีกและเปอร์เชีย หรือเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ (Byzantine) สุเหร่าโซเฟียมีจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมกลางวิหาร การประดับประดากระจกหลายสีที่บริเวณเหนือหน้าต่างประตู และเสาสลักตามแบบไปเซนไทน์ถึง 108 ต้นภายในตัววิหาร สุเหร่าโซเฟียสร้างขึ้นมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 13โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 17 ปี เดิมเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา ณ กรุงคอนสแตนติโนเปิล ประเทศตุรกี แต่กลับถูกชนชาติเติร์กบุกทำลาย ต่อมาในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตรงดงามด้วยเครื่องประดับตกแต่งที่มีค่าต่างๆ โดยใช้เวลาในการสร้างนานถึงประมาณ 20 ปี แต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้แตกร้าวเสียหาย ซึ่งได้รับการซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพเดิมในเวลาต่อมา พอหลังจากสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 ซึ่งทรงนับถือศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอำนาจเหนือตุรกี ได้ดัดแปลงให้โบสถ์กลายเป็นสุเหร่าที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมอีกแบบหนึ่ง
หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อค.ศ. 1174 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5 ชั้น เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปีค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176 ปี แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง 14 ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลกสุสานแห่งอเล็กซานเดรีย มีชื่อเรียกว่า คาตาโกมบ์ ตั้งอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เป็นสุสานฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใคร และสร้างเมื่อใด ลักษณะของสุสานไม่เหมือนกับปีรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ทำเป็นชั้นๆ และมีช่องทางเดินกว้างประมาณ 3-4 ฟุตวกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม ที่บรรจุดพระศพคือผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป มีแท่นบูชาวางด้วยตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไหว้ด้านหน้า ปัจจุบันสุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง


ยุคปัจจุบัน


ปราสาทหินนครวัด เป็นปราสาทหินที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดของขอม และเป็นเทวสถานทางศาสนาพราหมณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเมื่อเมื่อประมาณ พ.ศ. 1656 - 1693โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งอาณาจักรขอม ปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา ปราสาทหินประกอบไปด้วยปราสาทใหญ่ 5 องค์ ตั้งอยู่ที่บนฐานสี่เหลี่ยมที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆสูง 12 เมตรบนฐานชั้นบนมีปราสาทองค์ใหญ่สูงประมาณ 40 เมตร ตั้งอยู่ตรงกลาง และมีปราสาทขนาดเล็กกว่าล้อมรอบอยู่ทั้ง 4 ทิศ ซึ่งมีระเบียงหินสลักภาพนูนเชื่อมปราสาททั้ง 4 ด้าน และยังมีระเบียงหินขนาดใหญ่เป็นกำแพงล้อมรอบถัดออกไปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นระเบียงที่มีภาพสลักนูนแสดงเหตุการณ์ต่างๆและตำนานทางศาสนา บริเวณของปราสาทหินนครวัดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,005 ไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเพื่ออนุรักษ์ให้เป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง
ทัชมาฮาล เป็นสุสานหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สวยงามสมบูรณ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมนา เมืองอักรา ประเทศอินเดีย ทัชมาฮาลสร้างขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อประมาณค.ศ. 1630 - 1652 ใช้เวลาก่อสร้าง 17 ปี ใช้เวลาตกแต่ง 5 ปี รวมเวลาทั้งหมด 22 ปี ใข้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 30 ล้านรูปี โดยพระเจ้าชาห์ เจฮัล กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่มีต่อพระมเหสีมุมตัส สุสานทัชมาฮาลสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นรูปโดมตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซียสูง 61 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างด้านละ 95 เมตรหนา 5 เมตร มีหอคอยยอดแหลมสูง 95 เมตร ตั้งอยู่ที่มุมของฐานประจำ 4 ทิศ ใช้คนงานในการสร้างประมาณ 22,000 คนควบคุมการสร้างโดย อัสตาด ไอซา สถาปนิกในสมัยนั้นพระราชวังแวร์ซายส์ แห่งเมืองแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 - 1681 โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส จุดประสงค์สำคัญคือต้องการให้ชาวโลกเห็นว่า ความมั่งคั่งสมบูรณ์และความงามเลอเลิศที่สุดในโลกมารวมอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งหมด จึงได้สั่งให้รื้อพลับพลาที่สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ทิ้ง และให้สร้างพระราชวังใหญ่ทำด้วยหินอ่อนและตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร ด้วยสิ่งประดับที่หาค่ามิได้ ทั้งลวดลายแกะสลักในไม้และหิน เครื่องเคลือบ เครื่องเงิน เครื่องทอง หินอ่อน ภาพเขียนจากฝีมือจิตรกรชื่อดังและฝีมือชั้นเยี่ยม โดยใช้เงินในการก่อสร้างไปเป็นเงิน 500 ล้านฟรังค์ ใช้แรงงานคนในการก่อสร้าง30,000 คน และใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ยังมีความงามเป็นเลิศ ซึ่งฝรั่งเศสใช้เป็นสถานที่รับแขกเมือง การประชุมที่สำคัญระดับชาติ ตึกเอมไพร์สเตท ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ1929 - 1937 ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 8 ปี เสียงบประมาณในการก่อสร้าง 5 ล้านปอนด์ตัวตึกสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 1,248 ฟุต มี 102 ชั้น มีหน้าต่าง 6,500 บาน มีลิฟท์ขึ้นลง 63 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 2,158,000 ตารางฟุต สามารถจุคนได้ 25,000 - 80,000 คน ใช้เป็นสำนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ 600 กว่าบริษัท ส่วนสำคัญของตึกเอมไพร์สเตทจากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86 สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี น้ำหนัก 730 ตัน ชั้นบนสุดมีโคมไฟสูงขึ้นไปอีก 200 ฟุต ผู้ก่อสร้างรับประกันความถาวรทนทานของตึก 6,000 ปีตึกเอมไพร์สเตทเคยได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกแล้ว แต่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ชิ้นแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขื่อนฮูเวอร์ เป็นเขื่อนขนาดใหญ่เขื่อนแรก สร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1922 - 1933 ในสมัยของประธานาธิบดีฮูเวอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 7 ปี เขื่อนฮูเวอร์เป็นเขื่อนแรกที่สามารถเอาชนะธรรมชาติ คือ น้ำท่วมและสามารถเก็บกักน้ำ ทำให้เกิดทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น ตัวเขื่อนสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 228 เมตร ยาว 391 เมตร ทะเลสาบมีเหนือเขื่อนยาว 184 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 582.75 ตารางกิโลเมตร สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1,835,000 กิโลวัตต์ เขื่อนฮูเวอร์สร้างขึ้นที่บริเวณหุบเขาแบล็คแคนยอน ระหว่างรัฐอลิโซนากับรัฐเนวาดา ปัจจุบันเขื่อนฮูเวอร์ไม่ได้จัดเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็นับว่าเป็นเขื่อนยักษ์แห่งแรกของโลก สะพานโกลเดนเกด เป็นสะพานที่ทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของเมืองท่าซานฟรานซิสโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ เมื่อค.ศ. 1933 - 1937 เฉพาะช่วงตอนกลางของสะพานยาว 1,280 เมตรหรือ 4,200 ฟุต กว้าง 27 เมตรหรือ 90 ฟุต อยู่สูงกว่าน้ำทะเล 67 เมตร ข้างสะพานทั้งสองข้างมีสะพานช่วงสั้นต่อกันรวมเกือบ 7 กิโลเมตร มีหอคอยเหล็กสองข้างสูงข้างละ 746 ฟุต แบ่งเป็นทางรถยนต์โดยสาร 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง ทางรถไปอีก 2 ทาง และใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันสะพานโกลเดนเกดเป็นสะพานที่ประชาชนสนใจในความมหัศจรรย์ เรือโดยสารควีนแมรี สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1939 ที่อู่ต่อเรือในสก็อตแลนด์ เป็นเรือทะเลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ มีความยาว 306 เมตร สูง 55 เมตร หนัก 80,773 ตัน มีอัตราความเร็ว 30 น๊อต จุผู้โดยสารได้ประมาณ 2,075 คน บริเวญภายในเรือมีห้องพัก ห้องสมุด ห้องอาหาร คลินิก โรงพิมพ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พื้นที่บนดาดฟ้าเรือประมาณ 7.5 ไร่ เป็นบริเวณที่ใช้จัดงานเลี้ยงและสนามกีฬา เดิมทีเรือโดยสารควีนแมรีเป็นเรือเดินสมุทร แต่ได้ดัดแปลงเป็นภัตตาคารและโรงแรมในปี ค.ศ. 1967 ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำอยู่ที่ท่าเรือลองบิช รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

1 ความคิดเห็น:

  1. น้ำฟ้าเราชอบสะพานโกลเดนเกดอ่า..

    สวยมากเลยนะ
    แถมน่าไปอีกด้วยหล่ะ

    อย่าลืมมาเม้นให้เรานะจ๊ะ

    wp05489.blogspot.
    com นี่คือชื่อบล็อกเรานะ

    ตอบลบ