วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มหาวิทยาลัยมหิดล


มหาวิทยาลัยมหิดล มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่การเป็นโรงเรียนแพทย์ ณ โรงศิริราชพยาบาล ชื่อว่า "โรงเรียนแพทยากร" ซึ่งตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม "มหิดล" อันเป็นพระนามของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ให้เป็นชื่อมหาวิทยาลัยว่าแทนชื่อมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เดิม
เมื่อปี
พ.ศ. 2549 มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศและเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวิจัย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทย โดย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา [1] นอกจากนี้ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ยังรับรองมาตรฐานของสถาบันในระดับดีมากให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล[2] ในปี 2009 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยและเป็นอันดับที่ 30 ของเอเชีย จากการจัดอันดับของ QS Asian Universities Ranking 2009[3]
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดลจัดการเรียนการสอนใน 15 คณะ บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ รวมทั้งหมด 551 หลักสูตร โดยแบ่งออกเป็น 6 วิทยาเขต คือ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา วิทยาเขตพญาไท วิทยาเขตบางกอกน้อย วิทยาเขตกาญจนบุรี วิทยาเขตนครสวรรค์ และ วิทยาเขตอำนาจเจริญ

ประวัติ


ตราประจำมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์




พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบรมราชชนก ณ โรงพยาบาลศิริราช


มหาวิทยาลัยมหิดล มีความเป็นมาจาก โรงศิริราชพยาบาล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นบริเวณพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือที่เรียกว่า วังหลัง[4] ต่อมา จึงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ณ โรงศิริราชพยาบาล และตั้งชื่อโรงเรียนแพทย์ว่า "โรงเรียนแพทยากร"[5] จัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตร 3 ปี หลังจากนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดตึกของโรงเรียนแพทย์ จึงได้พระราชทานนามโรงเรียนแพทยากรใหม่ว่า "โรงเรียนราชแพทยาลัย"

พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบรมราชชนก ณ โรงพยาบาลศิริราช
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" จึงได้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็นคณะหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2460[6] โดยใช้ชื่อว่า "คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ต่อมา จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล"
เมื่อวันที่
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 ได้แยก คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งเป็น "มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์"[7] สังกัดกระทรวงการสาธารณสุข โดยได้จัดตั้งคณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยมากมาย เช่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ พญาไท คณะเภสัชศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีการโอนคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปเป็น คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ไปเป็น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามมหาวิทยาลัยว่า มหาวิทยาลัยมหิดล อันเป็นพระนามของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกเป็นชื่อมหาวิทยาลัยแทนชื่อมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เดิม[8]
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดลจัดการเรียนการสอนภายในคณะ สถาบัน วิทยาลัยต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ และเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2550[9] และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เป็นผลทำให้มหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ

สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย


ตราประจำมหาวิทยาลัย

กันภัยมหิดล ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย
ตรามหาวิทยาลัย ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎ ภายใต้มีจักรกับตรีศูล และอักษร ม ออกแบบโดยหม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี สถาปนิกพิเศษประจำสำนักพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่มหาวิทยาลัยมหิดล ตามจดหมายสำนักราชเลขาธิการ ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 [10]โดย
พระมหาพิชัยมงกุฎ คือ ศิราภรณ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญ แสดงว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์
จักร กับ ตรีศูล คือ ตราเครื่องหมายประจำพระบรมราชวงศ์จักรี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
อักษร "ม" มาจากคำว่า "มหิดล"
ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่
ต้นกันภัยมหิดล ซึ่ง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทานพระราชวินิจฉัยชี้ขาดให้ "ต้นกันภัยมหิดล" เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542[11]
สีประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่ สีน้ำเงินแก่ เป็นสีแห่งความเป็นราชขัติยนุกูลแห่งบรมราชวงศ์ ซึ่ง
สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระยศในขณะนั้น) พระราชทานเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2512[12]


รายนามอธิการบดี
มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์
อธิการบดี
วาระการดำรงตำแหน่ง
1. พระอัพภันตราพาธพิศาล
12 มีนาคม พ.ศ. 2485 - 16 เมษายน พ.ศ. 2488
2. ศาสตราจารย์อุปการคุณ หลวงเฉลิมคัมภีรเวชช์
17 เมษายน พ.ศ. 2488 - 15 กันยายน พ.ศ. 2500
3. ศาสตราจารย์หลวงพิณพากย์พิทยาเภท
16 กันยายน พ.ศ. 2500 - 15 สิงหาคม พ.ศ. 2501
4. ศาสตราจารย์นายแพทย์สวัสดิ์ แดงสว่าง
16 สิงหาคม พ.ศ. 2501 - 2 มิถุนายน พ.ศ. 2507
5. ศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวาล โอสถานนท์
3 มิถุนายน พ.ศ. 2507 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2512
มหาวิทยาลัยมหิดล
อธิการบดี
วาระการดำรงตำแหน่ง
6. ศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชชวาล โอสถานนท์
9 ธันวาคม พ.ศ. 2512 - 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514
7. ศาสตราจารย์นายแพทย์กษาน จาติกวนิช
1 ธันวาคม พ.ศ. 2514 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2522
8. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ดร.ณัฐ ภมรประวัติ
9 ธันวาคม พ.ศ. 2522 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2534
9. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี
9 ธันวาคม พ.ศ. 2534 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2538
10. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ
9 ธันวาคม พ.ศ. 2538 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2542
11. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์พรชัย มาตังคสมบัติ
9 ธันวาคม พ.ศ. 2542 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2550
11. ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร
9 ธันวาคม พ.ศ. 2550
- ปัจจุบัน

การศึกษา
มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดสอนในระบบหน่วยกิต ปัจจุบันมีการจัดการเรียนการสอนและการวิจัยทั้งสิ้น 551 สาขาวิชา[13] ครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศาสตร์ ทั้งในหลักสูตรภาษาไทยและหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่สามารถผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาเอกได้มากที่สุดในประเทศ[14]
ในปี พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยรัฐที่มีปริมาณนักศึกษาต่างชาติมากที่สุด[15] และใน พ.ศ. 2549 และได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณประเภทธุรกิจบริการดีเด่นกลุ่มการศึกษานานาชาติจากนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Export Award 2006) เพื่อประกาศเกียรติคุณมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างประเทศมากที่สุด (Most recognized service) ในพิธีประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัล เมื่อวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล[16] ปัจจุบัน มีหน่วยงานในสังกัด ดังนี้
คณะ
บัณฑิตวิทยาลัย
คณะกายภาพบำบัด
คณะทันตแพทยศาสตร์
คณะเทคนิคการแพทย์
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
คณะพยาบาลศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
คณะเภสัชศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะเวชศาสตร์เขตร้อน
คณะศิลปศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
คณะสัตวแพทยศาสตร์
คณะสาธารณสุขศาสตร์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
วิทยาลัย
วิทยาลัยการจัดการ
วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา
วิทยาลัยนานาชาติ
วิทยาลัยศาสนศึกษา
วิทยาลัยราชสุดา
วิทยาลัยดุริยางคศิลป์
สถาบัน
สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้
[1]
สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน
[2]
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
[3]
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท
[4]
สถาบันวิจัยโภชนาการ
[5]
สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
[6]
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
[7]
สถาบันอณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์
[8]
ศูนย์
ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา
[9]
สถาบันสมทบ
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์
วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก
วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ
วิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ
สถาบันพระบรมราชชนก สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
คณะแพทยศาสตร์พระบรมราชชนก
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพมหานคร
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชัยนาท
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พระพุทธบาท
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
จังหวัดสระบุรี
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
จังหวัดสุพรรณบุรี
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ศรีธัญญา
วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรจังหวัดชลบุรี
วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จังหวัดนครปฐม


วิทยาเขต
วิทยาเขตกาญจนบุรี[10] เปิดสอน
หลักสูตรการจัดการบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ และสาขาการจัดการทั่วไป
หลักสูตรบัญชีบัณฑิต สาขาวิชาบัญชี
หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการอาหาร สาขาชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ สาขาวิทยาศาสตร์การเกษตร และสาขาธรณีศาสตร์ โดยศึกษาวิชาพื้นฐานที่คณะวิทยาศาสตร์ (ศาลายา) 1 ปี และศึกษาที่วิทยาเขตกาญจนบุรี อีก 3 ปี
วิทยาเขตนครสวรรค์[11] เปิดสอน
หลักสูตรการจัดการบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ และสาขาการจัดการทั่วไป
หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย

วิทยาเขตและสถานที่ตั้ง
อาคารสำนักงานอธิการบดี ณ ศาลายา จังหวัดนครปฐม
มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่
พื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งออกได้ 4 บริเวณ
[17] ได้แก่
พื้นที่
เขตบางกอกน้อย บริเวณโรงพยาบาลศิริราช เป็นที่ตั้งของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ และคณะเทคนิคการแพทย์
พื้นที่
เขตบางพลัด บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งธนบุรี เป็นที่ตั้งของคณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์
พื้นที่
เขตราชเทวี (นิยมเรียกว่า พญาไท) แบ่งเป็น 4 บริเวณ ได้แก่
บริเวณ
ถนนพระรามที่ 6 เป็นที่ตั้งของคณะวิทยาศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
บริเวณ
ถนนราชวิถี เป็นที่ตั้งของคณะสาธารณสุขศาสตร์ และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน
บริเวณ
ถนนศรีอยุธยา เป็นที่ตั้งของคณะเภสัชศาสตร์
บริเวณ
ถนนโยธี เป็นที่ตั้งของคณะทันตแพทยศาสตร์
บริเวณ
ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยการจัดการ
พื้นที่บริเวณจังหวัดนครปฐม ตั้งอยู่ ณ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล
จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นที่ตั้งของคณะเทคนิคการแพทย์ (อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี (ภาควิชาพยาบาลศาสตร์) คณะวิทยาศาสตร์ (สถานที่สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 1-2 ในทุกสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์แสะเทคโนโลยี) คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ วิทยาลัยนานาชาติ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา วิทยาลัยราชสุดา วิทยาลัยศาสนศึกษา และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก[12]
พื้นที่บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่ ณ ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค
จังหวัดกาญจนบุรี เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี
พื้นที่บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งอยู่ ณ ตำบลบึงเสนาท อำเภอเมือง
จังหวัดนครสวรรค์ เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์

อาคารสำนักงานอธิการบดี ณ ศาลายา จังหวัดนครปฐม

งานวิจัย
มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญกับงานวิจัย โดยอาจจะแบ่งกลุ่มงานวิจัยออกเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์การแพทย์และคลินิก กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ การจัดการ และศิลปศาสตร์ และกลุ่มภาษาและวัฒนธรรม[18] เมื่อพิจารณาจากจำนวนผลงานทางวิชาการระดับนานาชาตินั้น พบว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมีจำนวนผลงานทางวิชาการที่ตีพิมพ์ในระดับนานาชาติบนฐานข้อมูลของ ISI databases เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 - 2549 [19] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2548 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นั้น มีจำนวนผลงานวิจัยเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับคณะวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศ[20] และเมื่อพิจารณาจากจำนวนงบประมาณที่ได้รับนั้น มหาวิทยาลัยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนมากที่สุดในประเทศด้วย[21]
อันดับและมาตรฐานการศึกษา
ดูบทความหลักที่
อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2549 มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศ และเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวิจัย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทย โดย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา[1] นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ซึ่งได้ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2550 ยังจัดให้หน่วยงานของมหาวิทยาลัย ได้แก่ สถาบันอณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และคณะเทคนิคการแพทย์ อยู่ในระดับดีมากด้วย[22] ในปี 2009 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยและเป็นอันดับที่ 30 ของเอเชีย จากการจัดอันดับของ QS Asian Universities Ranking 2009
นอกจากนี้
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ยังได้รับรองมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลในระดับดีมาก โดบกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ/ชีวภาพ กลุ่มวิชาวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มวิชาบริหารธุรกิจ พาณิชยศาสตร์ บัญชี การจัดการ การท่องเที่ยว และเศรษฐศาสตร์ กลุ่มวิชาศิลปกรรม วิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ และกลุ่มวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับดีขึ้นไปทั้งหมด เมื่อปี พ.ศ. 2550[2]
ชีวิตในมหาวิทยาลัย
นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยมหิดล จะต้องศึกษา ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จากนั้นถึงมีการแยกย้ายไปตามคณะของตน บรรยากาศในการใช้ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล จะมีความหลากหลายเพราะนักศึกษาแต่ละคน มาจากต่างคณะกัน เช่น แพทยศาสตร์ ดุริยางคศิลป์ วิทยาศาสตร์ ศาสนศึกษา กีฬา เป็นต้น การจัดกิจกรรมนั้น ก็มีหลายอย่าง เช่น รับน้อง การเชียร์แสตนด์ งานอำลาศาลายา งานวันมหิดล เป็นต้น ในเรื่องของการกีฬานั้น ในศาลายาจะมีสถานที่ออกกำลังกายให้นักศึกษาซึ่งก็แล้วแต่ใครจะชอบแบบใด บรรยากาศในศาลายา จะมีจุดเด่นคือ การขี่จักรยานสัญจรของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ไป ณ สถานที่ต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และเมื่อถึงการสอบในแต่ละภาคเรียน จะพบนักศึกษาจำนวนมากที่นั่งอ่านหนังสือตามสถานที่ต่างๆ รอบมหาวิทยาลัย
วันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดล
วันมหิดล ตรงกับวันที่ 24 กันยายน ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ต้นราชสกุล "มหิดล"
วันพระราชทานนามมหาวิทยาลัยมหิดล ตรงกับวันที่
2 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนาม "มหิดล" ให้เป็นชื่อมหาวิทยาลัย แทนชื่อ "มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์" เดิม
บุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัยมหิดล
ดูบทความหลักที่
รายนามบุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัยมหิดล
คณาจารย์และบุคคลากรของมหาวิทยาลัยมหิดลนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทยมากที่สุด และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ มากที่สุดในประเทศไทย [23] โดยมีรายพระนาม และรายนามบุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัย เช่น
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้ทรงบุกเบิกการแพทย์แผนใหม่ในประเทศไทย ผู้ทรงเป็นที่มาแห่งนาม 'มหิดล'
ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี นักเรียนทุนอานันทมหิดล ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ปี พ.ศ. 2524 และ นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ปี พ.ศ. 2526
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.ณัฐ ภมรประวัติ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นแห่งชาติ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

sugar sugar rune


คาโตะ ช็อกโกล่า / ช็อกโกล่า เมเยอร์ (Chocola Meilleure)
เกิด: 13 มีนาคม
สูง: 150 ซม.
ช็อกโกล่าเป็นเด็กหญิงที่นิสัยร่าเริง รักสนุก และชอบใช้กำลัง มีคำพูดติดปากที่ฟังแล้วชวนสะดุ้งคือ "จะชกให้กระเด็นเลย!"เป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น เธอเป็นขวัญใจของเด็กผู้ชายทุกคนในโลกเวทมนตร์ มีความพยายามที่จะเก็บหัวใจแต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จนัก เรียกได้ว่า แพ้วนิลาเป็นประจำ แต่สุดท้ายช็อกโกล่าก็ได้เป็นควีน (แต่ในcomic ไม่ได้เป็นควีนแพราะต้องฟอกใจให้เจ้าชายเกล็ดหิมะ) และรักกับปิแอร์อย่างมีความสุข (ในอะนิเมะ ช็อกโกล่า จะมีชุดแม่มดสีชมพู) เธอมีความชอบบางอย่างที่ไม่ค่อยจะเหมือนใคร คือ ชอบเล่นไล่จับคน และของกินที่ชอบ คือ ช็อคโกแล็ต และลูกอมกระดูก

ไอสึ วานิลลา(วานิลา) (愛須 バニラ) / วานิลา มิลซ์ (Vanilla Mieux)
เกิด: 19/3
สูง: 146 ซม.
เพื่อนสนิทของช็อกโกล่า เป็นลูกของควีนแคนตี้ มีนิสัยขี้อายและใจดี เก็บหัวใจได้อย่างมากมายเพราะหน้าตาที่น่ารัก เคยเป็นเจ้าหญิงแห่งโอกูล แต่สุดท้ายก็ดีกัน วนิลลาได้เป็นควีนแต่เสียสละให้ช็อกโกล่า (ใน comic วนิลาได้เป็นควีน )(ในอะนิเมะ วนิลา จะมีชุดสีม่วง)




ดุ๊ค (Duke)/พอลวาวูล
เกิด: 26 มีนาคม (30 ปี เทียบกับมนุษย์)
ส่วนสูง: เท่ากล่องบุหรี่
สัตว์เลี้ยงเวทมนตร์ของช็อกโกล่า เป็นกบ (เดิมทีแล้วดุ๊ค เป็นพ่อมด แต่ร่ายคาถาผิด จึงถูกกลายเป็นกบ )และยังเป็นน้องชายของซินนาม่อนและน้าของช็อกโกล่า มีนิสัยชอบแอบหนีเที่ยว หลงตัวเองในบางครั้ง แต่บางครั้งก็ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่ช็อกโกล่าได้เหมือนกัน

แบลงก้า (Blanca)/ ริวบี้
เกิด: 4 กันยายน
สูง: 8.5 ซม.
สัตว์เลี้ยงเวทมนตร์ของวานิลล่า เป็นหนู (เป็นแม่มดเช่นเดียวกับดุ๊ค เพราะมีความรักให้มนุษย์ จึงต้องอยู่ในร่างหนู เป็นเวลา 100 ปี) มีนิสัยเย่อหยิ่ง เจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ และมักจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้วานิลลาได้เก็บหัวใจเป็นจำนวนมากๆ โดยบางครั้งมักจะไม่สนวิธีการที่จะใช้ว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนแค่ไหน แต่ก็มีความจงรักภักดีกับวานิลลาเป็นที่สุด

ซ้าย ร๊อกกิ้ง โรบิ้น ขวา กราเช่

ร็อกกิ้ง โรบิน
เกิด: 7 พฤศจิกายน
สูง: 188 ซม.
อาจารย์ที่สอนเวทมนตร์ให้กับช็อกโกล่าและวนิลลา มีนิสัยเจ้าชู้และชอบพูดจาแบบจีบปากจีบคอ พอมาอยู่ที่โลกมนุษย์ก็เป็นนักร้องวงร็อกที่ทำให้สาว ๆ บนโลกมนุษย์หัวใจละลายกันมามากต่อมากแล้ว อดีตเคยเป็นทหารองครักษ์คู่กับกราเช่ (ใน comic โรบินรักกับแอนบลูและได้ตายไปเพราะต้องสู้กับเจ้าชายเก็ลหิมะ )


กราเช่ (Glacier)
เกิด: 26 กุมภาพันธ์
สูง: 190 ซม.
เป็นทหารองครักษ์ฝีมือดีประจำโลกเวทมนตร์ และเคยทำงานร่วมกับ ร็อกกิ้ง โรบิน มาก่อน

ปิแอร์ (Pierre)
เกิด: 27 มกราคม
สูง: 170 ซม.
เด็กหนุ่มหน้าตาดี เป็นเจ้าชายพวกโอกูล ที่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เด็ก และในอดีตปิแอร์และช็อกโกลาเคยพบและสนิทกันมาก่อน ปีแอร์รักช็อกโกล่าโดยไม่รู้ตัว ในใจของปิแอร์มีหัวใจสองดวงของช็อกโกล่า ซ้อนกันอยู่ ซึ่งใจหนึ่งเป็นสีดำและอีกใจหนึ่งเป็นสีชมพู ทำให้ในตอนหลังปิแอร์ทรยศและช่วยวนและตอนจบก็ได้หมั้นกับช็อกโกล่าเพื่อผสานสองเผ่าพันธ์เป็นหนึ่งเดียวข้างบน อูล ข้างล่าง โซล
อูล (Houx) และ โซล (Soul)
เกิด: 6 มีนาคม
สูง: 165 ซม.
พี่น้องฝาแฝดและเป็นเพื่อนสมัยเด็กของช็อกโกล่า รับหน้าเป็นองครักษ์ให้กับช็อกโกล่า อีกทั้งสองคนยังแอบชอบช็อกโกล่าอีกด้วย
(ใน comic อูลได้รักกับวนิลา)
ซ้าย ชินนามอน ขวา ควีนแคนดี้
ควีนแคนดี้ (Queen Candy)
เกิด: 8 เมษายน
สูง: 165 ซม.
แม่ของวานิลาและเป็นราชินีประจำโลกเวทมนตร์ มีนิสัยที่อ่อนโยน มองการณ์ไกล ไม่โปรดในการทำสงคราม และมีวิจารณญาณพอตัว

ชินนามอน (ซินนามอน) (Cinnamon)
เกิด: 20 มิถุนายน
สูง: 167 ซม.
แม่ของช็อกโกล่าที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ความจริงแล้วในการทดสอบว่าที่ราชินีเธอได้รับการคัดเลือก แต่ต้องไปสู้กับกลาสทำให้เธอถูกสาปเป็นแมวสีดำที่อยู่กับปิแอร์










ซุงิยามาะ ไทจิ
เกิด: 18 พฤศจิกายน
สูง: 156 ซม.







มิมุระ จุน
เกิด: 12 ตุลาคม
สูง: 158 ซม.







มิคาโดะ อากิระ
เกิด: 5 ธันวาคม
สูง: 158 ซม.
เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของช็อกโกล่าและวนิลลลา แต่มักจะกล่าวหาช็อกโกล่า ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว และยังเป็นคนแรกที่ช็อกโกล่าได้หัวใจสีเหลือง และสีเขียว มาครอบครองมีสุนัขเลี้ยงชื่อฮิโรชิ







ฮิโรชิ
ส่วนสูง: 80ซม.
สุนัขเลี้ยงของมิคาโดะ อากิระ เป็นสุนัขที่ร่าเริง แอบต๊องนิดๆ แต่ช็อกโกล่ามักจะเรียกมันว่า "เจ้าหมาโง่" อยู่ค่อนข้างประจำ







ซาคาโมโตะ มิฮารุ






นิชิทานิ ฮาจิเมะ






โมริตะ เคนจิ





อาริจิคะ นัตซึเมะ






อิชิดะ มายุ






นานาโค วอลจูล




ซ้ายซินนามอน ขวาควีนแคนดี้









คิโคชิ เจ้าชายเกล็ดหิมะ(กลาส)
พ่อของช็อกโกล่าและยังเป็นราชาของเหล่าโอกูลทั้งมวล ต้องการที่จะยึดครองโลกเวทมนตร์และโลกมนุษย์ เพราะในอดีตเขาถูกเหล่าแม่มดที่ร่วมกันสร้างอาณาจักรในยุคเริ่มต้น ทรยศหักหลังอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส จึงมีความเคียดแค้นฝังแน่นอยู่เต็มเปี่ยม







โครุนุ เมลยู
ส่วนสูง: 187 ซม.
เป็นคุณตาของช็อกโกล่า และเป็นพ่อของชินนามอน มีนิสัยที่จู้จี้ ซ่าแบบวัยรุ่น(แบบลืมวัย) และติงต๊องนิดๆ อีกทั้งยังมีรสนิยมชื่นชอบตุ๊กตาหมีเป็นพิเศษแต่ก็เป็นห่วงและรักซินนาม่อนพอๆกับช็อกโกล่า













วาฟเฟิล
เกิด: ไม่ปรากฏ
สูง: 140 ซม.
วาฟเฟิล เป็นเด็กผู้หญิงผมหยิกสีชมพู เสื้อสีขาวสแขนกุดปลายแขนมีขนแกะ กำไลสีขาวกลม มีเคี้ยว กระโปรงสีชมพู คละกับเหลือง ใส่รองเท้าบูท และชอบอูลมากๆ




หัวใจสีต่าง ๆ มีความหมาย ในชูการ์ชูการ์รูน ได้แบ่งระดับอารมณ์ออกเป็น
หัวใจ
ระดับอารมณ์
หัวใจสีเหลือง แค่ตกใจ มีค่า 900 เอคูล
หัวใจสีส้ม รักแรกพบ มีค่า 1000 เอคูล
หัวใจสีเขียว มิตรภาพ มีค่า 1500 เอคูล
หัวใจสีรุ้ง ความสุข มีค่า 2500 เอคูล
หัวใจสีชมพู รักหวานแหวว มีค่า 21000 เอคูล
หัวใจสีม่วง รักร้อนแรง มีค่า 52500 เอคูล
หัวใจสีฟ้า เคารพนับถือ มีค่า 3000 เอคูล
หัวใจสีแดงเข้ม รักแท้ มีค่า 5000 เอคูล
หัวใจสีดำ ริษยา มีค่า91000 เอคูล
หัวใจสีขาว บริสุทธิ์ 6000



































ประวัติส่วนตัว



ชื่อ เด็กหญิง สุภิญญา นามสกุล คมสัน ชื่อเล่น น้ำฟ้า
เกิดวันที่ 12 กันยายน 2539
ชื่อบิดา นาย กำธร นามสกุล คมสัน เบอร์โทร -
ชื่อมารดา นาง สุริฉาย นามสกุล เทพเทียน เบอร์โทร 081-6124690
เป็นบุตรคนที่ 1 จาก 1 คน
จบจากโรงเรียน ปรีดาวิทย์ ที่อยู่ 1033/1 ม.6 ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
วิชาที่ชอบ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ
นิสัย ร่าเริง อารมณ์ดี
ข้อเสียของตนเอง เป็นคนทำอะไรช้า
ข้อดีของตนเอง มุ่งมั่นในการเรียน
ความภาคภูมิใจ 1.สอบเข้าเรียนต่อม.1ที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย สุพรรณบุรี
2.สอบไล่ธรรมศึกษา ชั้นเอกได้
3.ได้เกิดเป็นคนเพราะจะได้สร้างความดี
ประสบการณ์ที่ประทับใจ ได้ไปวัดอภิญญา จ. อุดรธานี
สถานที่ที่ไปบ่อย วัด
อาชีพที่อยากเป็น แพทย์
บุคคลต้นแบบ คุณอาหมอ (คุณอาของฉัน)
คติประจำใจ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ถ้าไม่พยายาม

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
คือ สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น ทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในงานของเฮโรโดตุส (Herodotos หรือ Herodotus เมื่อราว 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นก็การอ้างถึงจากกวีชาวกรีก เช่น คัลลิมาฆุส แห่งคีเรนี, อันทิพาเตอร์ แห่งซีดอน และฟิโล แห่งไบเซนไทน์ เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก ในบัญชีแรก เรียกกันว่า เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และหลังจากนั้น ยังมีบัญชีเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและยุคปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏผู้จัดทำรายการอย่างชัดเจน
ยุคโบราณ

พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
สวนลอยบาบิโลน (อังกฤษ: Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี ปัจจุบันสวนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว เทวรูปซีอุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111 ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58 ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน อาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียหาย
วิหารไดอานา หรือ วิหารไดอานาแห่งเอฟิซูส ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซูส ประเทศกรีซ วิหารแห่งนี้สร้างด้วยหินอ่อนเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยของกษัตริย์ครอยซุสแห่งลิเดีย ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต เมื่อมองจากด้านกว้างจะพบเสาหินอ่อนเรียงกันอยู่ทั้งสิ้น 8 ต้น แต่ถ้ามองจากด้านยาวจะเห็นเสาหินอ่อนเรียงกันอยู่ 20 ต้น โดยเสาแต่ละต้นมีความสูง 60 ฟุต และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 6 ฟุต หลังคาวิหารทำด้วยไม้มุงกระเบื้องหินอ่อน ขนาดของวิหารครอบคลุมพื้นที่ 54,720 ตารางฟุต เป็นวิหารที่สามารถกล่าวได้ว่ามีความสวยงามมากที่สุดในสมัยนั้น ประวัติการสร้างวิหารแห่งนี้ มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า วิหารแห่งนี้ถวายสร้างขึ้นแด่เทพธิดาไดอานาหรืออาร์เทมิสที่เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อช่วยชาวเมnองให้พ้นจากภัยพิบัติและความหายนะทั้งปวง เมื่อเทพธิดาไดอานาหรืออาร์เทมิสได้ช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นหายนะดังกล่าวแล้ว ชาวเมืองต่างซาบซึ้งในบุญคุณยิ่งนัก ด้วยความศรัทธาทั้งหลายทั้งปวง ชาวเมืองต่างร่วมใจกันสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นมาอย่างใหญ่โตวิจิตรงดงาม ต่อมาวิหารไดอานาได้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลาโดยไม่มีใครสนใจจนกระทั่งเมื่อ ค.ศ. 186 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่เนื่องจากถูกไฟไหม้ แม้ว่าวิหารไดอานาจะเสียหายไปมากทว่าความงดงามของโครงร่างสถาปัตยกรรมแบบกรีกที่สวยงามยังคงตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น เทวรูปเฮลิออสเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ในปี 357 ก่อน ค.ศ. เกาะโรดส์ (Rhodes - ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศกรีซ) ซึ่งเป็นอีกเมืองท่าสำคัญในยุคนั้น ถูกยึดครองโดย Mausolus แห่ง Halicarnassus (ผู้ที่หลุมศพของพระองค์กลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคต้นนั่นเอง) จนถึงปี 332 ก่อน ค.ศ. ก็กลายเป็นของ Alexander มหาราช จนเมื่อสิ้นยุคของพระองค์ อำนาจเหนืออาณาจักรทั้งหลายก็ตกอยู่ในมือของ Ptolemy, Seleucus และ Antigous ชาวเกาะโรดส์ได้ตัดสินใจยืนอยู่ข้าง Ptolemy ซึ่งขณะนั้นมีอำนาจเหนืออียิปต์ ทำให้ Antigous ไม่พอใจ จึงส่ง Demetrius ลูกชายพร้อมกองทหาร 40,000 คน (ซึ่งมากกว่าประชากรชาวโรคส์ทั้งหมดเสียอีก) มาโอบล้อมเกาะเอาไว้เพื่อสั่งสอน แต่จนแล้วจนรอด กองทหารของ Demetrius กลับไม่สามารถตีฝ่ากำแพงอันแน่นหนาของโรดส์ได้ จนในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งใหญ่นี้ ชาวโรดส์จึงตั้งใจจะสร้างเทวรูปของเทพเจ้า Helios (หรืออพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์) โดยมอบให้ Chares แห่ง Lindos ปฏิมากรชาวโรดส์ผู้ซึ่งได้ร่วมรบในสงครามครั้งนี้ เป็นสถาปนิกผู้ดำเนินการสร้างเทวรูปนี้มีความสูงถึง 110 ฟุต และขาทั้งสองข้างกางออกคลุมเหนือทางเข้าท่าเรือ แต่เชื่อกันว่า Chares ไม่สามารถอยู่ทันได้ดูงานของเขาเสร็จสมบูรณ์ มีเรื่องเล่าหลายเรื่องบอกไว้ว่าเขาได้ฆ่าตัวตายลงเสียก่อน หนึ่งในเรื่องเล่าเหล่านั้นบอกเอาไว้ว่าขณะที่เขาเกือบจะเสร็จงานชิ้นเอกนี้ มีผู้หนึ่งชี้ให้ดูข้อตำหนิเล็กๆ ที่รูปปั้นของเขา Chares รู้สึกอับอายมากไม่อาจอยู่สู้หน้าใครได้ เขาจึงชิงฆ่าตัวตายหนีหน้าไป แต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันเรื่องเล่าเหล่านี้The Colossus of Rhodes ยืนเด่นอวดโฉมอยู่ได้เพียง 56 ปี ก็ถูกแผ่นดินไหวทำลายลงราบ กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มีอายุน้อยที่สุดของโลก กล่าวกันว่ากษัตริย์แห่งอียิปต์ (Ptolemy III) ได้เสนอจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการบูรณะใหม่ แต่ชาวโรดส์ต่างปฏิเสธไปเพราะเกรงว่าเทพเจ้า Helios อาจจะลงโทษด้วยแผ่นดินไหวอีกครั้ง จนล่วงมาถึงศตวรรษที่ 7 เมื่อพวกอาหรับเข้ามายึดครองเกาะโรดส์ พวกเขาได้ทำลายชิ้นส่วนต่างๆ ที่หลงเหลือของรูปปั้นลง แล้วขายให้กับพวกยิวจากซีเรีย (Syria) ว่ากันว่าชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องใช้อูฐถึง 900 ตัวในการขนกลับไปยังซีเรียปัจจุบันเราอาจจะเรียก The Statue of Liberty หรือเทพีเสรีภาพของอเมริกาได้ว่าเป็น Modern Colossus ที่สร้างขึ้นในรูปแบบคล้ายคลึงกันและด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ เฉลิมฉลองเสรีภาพนั่นเอง
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นประภาคารโบราณซึ่งจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดียร ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนีย สร้างประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยพระเจ้าปโตเรมีที่ 2 โดยสถาปนิกชื่อ โซสเตรโตส ประภาคารสูง 200-600 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลัก มีตะเกียงขนาดใหญ่บนยอด แต่ในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา
เทวลัยดิอานา หรือ อาร์เทมิส ที่เมืองเอเฟซุส ในประเทศกรีซ สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เป็นวิหารที่สร้างขึ้น ด้วยฝีมือของบรรดาสถาปัตย์กรีก ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างได้งาม วิจิตรพิศดารมาก ทั้งนี้เพื่อ เป็นที่ระลึกถึงอาร์เทมิส ซึ่งเป็นผู้มาจากสวรรค์ ได้ช่วยกู้ความหายนะ ของเมืองไว้ ได้ถึง 2 ครั้ง มีความยาว 150 เมตร กว้าง 50 เมตร และใช้ศิลาขนาดใหญ่ถึง 127 ต้น สูงกว่า 18 เมตร หลังคาใช้ กระเบื้องหินอ่อน ส่วนประตูประดับประดา ไปด้วยงาช้าง และทองคำ
สุสานกษัตริย์โมโซรุส Mausolus เป็นกษัตริย์แห่ง Halicarnassus สิ้นพระชนม์ลงในปี 353 ก่อนคริสตศักราช การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ราชินี Artemisia ผู้เป็นทั้งมเหสีและขนิษฐาทรงเสียพระทัยมาก จึงทรงแสดงความความอาลัยรักด้วยการสร้าง The Mausoleum of Halicarnassus ให้วิจิตรงดงามที่สุด พระนางเฟ้นหาศิลปินเอกมาจาก Greece ซึ่งมีทั้ง Scopas (ผู้ที่ดูแลการก่อสร้าง The Temple of Artemis at Ephesus อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคต้น), Bryaxis, Leochares และ Timotheus แต่น่าเสียดายที่พระนางไม่มีโอกาสได้อยู่ดูความงดงามของอนุสรณ์รักของพระองค์ Artemisia สิ้นพระชนม์ลงหลังพระสวามีเพียง 2 ปี แต่ในที่สุดร่างของทั้งสองพระองค์ก็ได้ฝังอยู่เคียงข้างกันในสุสานแห่งนี้ The Mausoleum of Halicarnassus ตั้งตระหง่านอยู่ต่อมาอีกหลายศตวรรษ ผ่านทั้งยุคของ Alexander มหาราชในช่วงปี 334 ก่อน ค.ศ. และรอดพ้นจากการโจมตีของโจรสลัดในปี 62 และ 58 ก่อน ค.ศ. ท่ามกลางซากเมืองที่ถูกทำลาย จนกระทั่งปี 1404 The Mausoleum ก็ไม่อาจต้านทานภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหวได้ พวกนักรบ Crusader ที่ได้ครอบครองต่อมาได้นำซากหินหักพังเหล่านี้มาสร้างปราสาทและป้อมปราการ จนถึงปี 1846 พิพิธภัณฑ์อังกฤษก็ได้ส่งนักโบราณคดี Charles Thomas Newton มาสำรวจหาหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ และนำสิ่งที่ได้ทั้งหมดกลับไปเก็บไว้ที่ห้อง "Mausoleum" ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษในที่สุด

ยุคกลาง

สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือ ประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก

เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง ตั้งอยู่ที่เมืองนานกิงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์เหม็ง เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตัวเจดีย์มีลักษณะทรงสูงรูปแปดเหลื่ยม หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว แขวนกระดิ่งไว้ 80 ลูก โดยรอบเจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ยอดปลายแหลมของเจดีย์เป็นรูปทรงกลมต่อกันขึ้นไปและเคลือบด้วยทอง แต่เจดีย์องค์เดิมมี 3 ชั้น ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 9 ชั้น มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์ 8 เส้น โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม 72 ลูก ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392 กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 332 - 339 โดยจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นกำแพงอิฐที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งยาวประมาณ 2400 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวตาตาร์ กำแพงสร้างด้วยดิน หิน และก่ออิฐโดยรอบ มีการสร้างป้อมปราการประมาณ 15,000 แห่ง มีฐานกว้างประมาณ 20 ฟุต ทางเดินกว้างประมาณ 12 ฟุต สูงประมาณ 25 ฟุต มีระฆังบอกเหตุประมาณ 20,000 หอ ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 10 ปี โดยแรงงานของประชาชนนับล้านคนและมีผู้เสียชีวิตในระหว่างการสร้างประมาณหมื่นคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนได้รับการบูรณะซ่อมแซมในส่วนที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งทำให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ มีอายุประมาณปลายยุคหินถึงต้นยุคบรอนซ์ ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบซาลิสเบอรี ด้านเหนือของเมืองซาลิสเบอรี ในมณฑลวิลไซร์ ห่างจากกรุงลอนดอนไป 10 ไมล์ ประเทศอังกฤษ ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้นำมาวางไว้ และนำมาวางไว้เพื่อจุดประสงค์ใด นักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าสร้างมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์ยุคนั้น กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ประกอบไปด้วยก้อนหินทรงสูงขนาดใหญ่จำนวน 112 ก้อนวางตั้งเรียงเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสามวง บางก้อนล้มนอน บางก้อนวางทับซ้อนอยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต มีน้ำหนักเป็นตันๆ บริเวณที่ราบซาลิสเบอรีเป็นทุ่งโล่ง ไม่มีภูเขา และไม่ปรากฏว่ามีก้อนหินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2507 เจอรัลด์ เอส เฮากินส์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้สันนิษฐานว่า เป็นสถานที่สำหรับทำนายตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก คือเป็นปฏิทินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆนั่นเอง
สุเหร่าโซเฟีย เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะกรรมกรีกและเปอร์เชีย หรือเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ (Byzantine) สุเหร่าโซเฟียมีจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมกลางวิหาร การประดับประดากระจกหลายสีที่บริเวณเหนือหน้าต่างประตู และเสาสลักตามแบบไปเซนไทน์ถึง 108 ต้นภายในตัววิหาร สุเหร่าโซเฟียสร้างขึ้นมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 13โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 17 ปี เดิมเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา ณ กรุงคอนสแตนติโนเปิล ประเทศตุรกี แต่กลับถูกชนชาติเติร์กบุกทำลาย ต่อมาในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตรงดงามด้วยเครื่องประดับตกแต่งที่มีค่าต่างๆ โดยใช้เวลาในการสร้างนานถึงประมาณ 20 ปี แต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้แตกร้าวเสียหาย ซึ่งได้รับการซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพเดิมในเวลาต่อมา พอหลังจากสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 ซึ่งทรงนับถือศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอำนาจเหนือตุรกี ได้ดัดแปลงให้โบสถ์กลายเป็นสุเหร่าที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมอีกแบบหนึ่ง
หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อค.ศ. 1174 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5 ชั้น เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปีค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176 ปี แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง 14 ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลกสุสานแห่งอเล็กซานเดรีย มีชื่อเรียกว่า คาตาโกมบ์ ตั้งอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เป็นสุสานฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใคร และสร้างเมื่อใด ลักษณะของสุสานไม่เหมือนกับปีรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ทำเป็นชั้นๆ และมีช่องทางเดินกว้างประมาณ 3-4 ฟุตวกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม ที่บรรจุดพระศพคือผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป มีแท่นบูชาวางด้วยตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไหว้ด้านหน้า ปัจจุบันสุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง


ยุคปัจจุบัน


ปราสาทหินนครวัด เป็นปราสาทหินที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดของขอม และเป็นเทวสถานทางศาสนาพราหมณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเมื่อเมื่อประมาณ พ.ศ. 1656 - 1693โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งอาณาจักรขอม ปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา ปราสาทหินประกอบไปด้วยปราสาทใหญ่ 5 องค์ ตั้งอยู่ที่บนฐานสี่เหลี่ยมที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆสูง 12 เมตรบนฐานชั้นบนมีปราสาทองค์ใหญ่สูงประมาณ 40 เมตร ตั้งอยู่ตรงกลาง และมีปราสาทขนาดเล็กกว่าล้อมรอบอยู่ทั้ง 4 ทิศ ซึ่งมีระเบียงหินสลักภาพนูนเชื่อมปราสาททั้ง 4 ด้าน และยังมีระเบียงหินขนาดใหญ่เป็นกำแพงล้อมรอบถัดออกไปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นระเบียงที่มีภาพสลักนูนแสดงเหตุการณ์ต่างๆและตำนานทางศาสนา บริเวณของปราสาทหินนครวัดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,005 ไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเพื่ออนุรักษ์ให้เป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง
ทัชมาฮาล เป็นสุสานหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สวยงามสมบูรณ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมนา เมืองอักรา ประเทศอินเดีย ทัชมาฮาลสร้างขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อประมาณค.ศ. 1630 - 1652 ใช้เวลาก่อสร้าง 17 ปี ใช้เวลาตกแต่ง 5 ปี รวมเวลาทั้งหมด 22 ปี ใข้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 30 ล้านรูปี โดยพระเจ้าชาห์ เจฮัล กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่มีต่อพระมเหสีมุมตัส สุสานทัชมาฮาลสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นรูปโดมตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซียสูง 61 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างด้านละ 95 เมตรหนา 5 เมตร มีหอคอยยอดแหลมสูง 95 เมตร ตั้งอยู่ที่มุมของฐานประจำ 4 ทิศ ใช้คนงานในการสร้างประมาณ 22,000 คนควบคุมการสร้างโดย อัสตาด ไอซา สถาปนิกในสมัยนั้นพระราชวังแวร์ซายส์ แห่งเมืองแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 - 1681 โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส จุดประสงค์สำคัญคือต้องการให้ชาวโลกเห็นว่า ความมั่งคั่งสมบูรณ์และความงามเลอเลิศที่สุดในโลกมารวมอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งหมด จึงได้สั่งให้รื้อพลับพลาที่สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ทิ้ง และให้สร้างพระราชวังใหญ่ทำด้วยหินอ่อนและตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร ด้วยสิ่งประดับที่หาค่ามิได้ ทั้งลวดลายแกะสลักในไม้และหิน เครื่องเคลือบ เครื่องเงิน เครื่องทอง หินอ่อน ภาพเขียนจากฝีมือจิตรกรชื่อดังและฝีมือชั้นเยี่ยม โดยใช้เงินในการก่อสร้างไปเป็นเงิน 500 ล้านฟรังค์ ใช้แรงงานคนในการก่อสร้าง30,000 คน และใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ยังมีความงามเป็นเลิศ ซึ่งฝรั่งเศสใช้เป็นสถานที่รับแขกเมือง การประชุมที่สำคัญระดับชาติ ตึกเอมไพร์สเตท ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ1929 - 1937 ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 8 ปี เสียงบประมาณในการก่อสร้าง 5 ล้านปอนด์ตัวตึกสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 1,248 ฟุต มี 102 ชั้น มีหน้าต่าง 6,500 บาน มีลิฟท์ขึ้นลง 63 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 2,158,000 ตารางฟุต สามารถจุคนได้ 25,000 - 80,000 คน ใช้เป็นสำนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ 600 กว่าบริษัท ส่วนสำคัญของตึกเอมไพร์สเตทจากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86 สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี น้ำหนัก 730 ตัน ชั้นบนสุดมีโคมไฟสูงขึ้นไปอีก 200 ฟุต ผู้ก่อสร้างรับประกันความถาวรทนทานของตึก 6,000 ปีตึกเอมไพร์สเตทเคยได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกแล้ว แต่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ชิ้นแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขื่อนฮูเวอร์ เป็นเขื่อนขนาดใหญ่เขื่อนแรก สร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1922 - 1933 ในสมัยของประธานาธิบดีฮูเวอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 7 ปี เขื่อนฮูเวอร์เป็นเขื่อนแรกที่สามารถเอาชนะธรรมชาติ คือ น้ำท่วมและสามารถเก็บกักน้ำ ทำให้เกิดทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น ตัวเขื่อนสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 228 เมตร ยาว 391 เมตร ทะเลสาบมีเหนือเขื่อนยาว 184 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 582.75 ตารางกิโลเมตร สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1,835,000 กิโลวัตต์ เขื่อนฮูเวอร์สร้างขึ้นที่บริเวณหุบเขาแบล็คแคนยอน ระหว่างรัฐอลิโซนากับรัฐเนวาดา ปัจจุบันเขื่อนฮูเวอร์ไม่ได้จัดเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็นับว่าเป็นเขื่อนยักษ์แห่งแรกของโลก สะพานโกลเดนเกด เป็นสะพานที่ทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของเมืองท่าซานฟรานซิสโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ เมื่อค.ศ. 1933 - 1937 เฉพาะช่วงตอนกลางของสะพานยาว 1,280 เมตรหรือ 4,200 ฟุต กว้าง 27 เมตรหรือ 90 ฟุต อยู่สูงกว่าน้ำทะเล 67 เมตร ข้างสะพานทั้งสองข้างมีสะพานช่วงสั้นต่อกันรวมเกือบ 7 กิโลเมตร มีหอคอยเหล็กสองข้างสูงข้างละ 746 ฟุต แบ่งเป็นทางรถยนต์โดยสาร 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง ทางรถไปอีก 2 ทาง และใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันสะพานโกลเดนเกดเป็นสะพานที่ประชาชนสนใจในความมหัศจรรย์ เรือโดยสารควีนแมรี สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1939 ที่อู่ต่อเรือในสก็อตแลนด์ เป็นเรือทะเลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ มีความยาว 306 เมตร สูง 55 เมตร หนัก 80,773 ตัน มีอัตราความเร็ว 30 น๊อต จุผู้โดยสารได้ประมาณ 2,075 คน บริเวญภายในเรือมีห้องพัก ห้องสมุด ห้องอาหาร คลินิก โรงพิมพ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พื้นที่บนดาดฟ้าเรือประมาณ 7.5 ไร่ เป็นบริเวณที่ใช้จัดงานเลี้ยงและสนามกีฬา เดิมทีเรือโดยสารควีนแมรีเป็นเรือเดินสมุทร แต่ได้ดัดแปลงเป็นภัตตาคารและโรงแรมในปี ค.ศ. 1967 ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำอยู่ที่ท่าเรือลองบิช รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา